หากพูดถึงเทคโนโลยีการขับเคลื่อนรถยนต์ที่เข้ามามีบทบาทต่อวงการยานยนต์ในช่วงนี้ คงไม่มีใครไม่นึกถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และช่วยลดมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า e-Power หรือไม่ แล้วรถยนต์ที่มีระบบ e-Power เป็นอย่างไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง แตกต่างจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วไปหรือเปล่า เราไปหาคำตอบพร้อมกับ masii กันเลยค่ะ
ทำความรู้จัก เทคโนโลยี e-Power คืออะไร
เทคโนโลยี e-Power (อี-พาวเวอร์) คือ ระบบขับเคลื่อนรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง แบบเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) แต่จะมีเครื่องยนต์เป็นตัวสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าไปจัดเก็บที่แบตเตอรี่ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ คือรถยนต์ที่เคลื่อนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่นั้นถูกสร้างขึ้นจากเครื่องยนต์ ซึ่งใช้วิธีการเติมน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน แทนการเสียบชาร์จไฟฟ้า
หลักการทำงานของเทคโนโลยี e-Power
รถยนต์ที่ใช้ระบบ e-Power หรือ อี-พาวเวอร์ จะถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำงานเพื่อสร้างพลังงานส่งไปที่ Generator เพื่อปั่นกระแสไฟฟ้าส่งไปที่ Inverter ซึ่งทำหน้าที่แปลงกระแสไฟ รวมถึงเป็นตัวรับกระแสไฟฟ้าจากการปั่นไฟของเครื่องยนต์มาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ และเป็นตัวจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาให้มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนรถ
ทั้งนี้เครื่องยนต์จะทำงานก็ต่อเมื่อ พลังงานในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 40% หรือเป็นช่วงที่รถต้องการกำลังไฟมากเป็นพิเศษจากการเหยียบคันเร่ง และเมื่อรถมีกำลังไฟมากพอ เครื่องยนต์ก็จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งเครื่องยนต์จะติดเพื่อเติมกระแสไฟให้กับแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ โดยคงระดับพลังงานในแบตเตอรี่เอาไว้ระหว่าง 90%-40% จะไม่เติมจนเต็ม และไม่ปล่อยจนแบตหมด ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์ธรรมดาทั่วไป เพราะเครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานตลอดเวลานั่นเอง แต่จะค่อยๆ เติมแบตเตอรี่บ่อยๆ ทีละน้อยๆ
ข้อดีของ e-Power คืออะไร?
1. อัตราการเร่งดี
รถยนต์ระบบ e-Power ใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน เมื่อเหยียบคันเร่งก็จะออกตัวได้ทันที เหมือนการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งไม่มีระบบส่งกำลังอื่นๆ มาเป็นตัวหน่วง โดยมอเตอร์ที่ใช้นั้นให้สมรรถะสูงถึง 129 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-เมตร
2. ขับเคลื่อนเงียบ ไร้เสียงรบกวน
เนื่องจากใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ทำให้มีความเงียบในการขับเคลื่อน ไม่มีเสียงรบกวนในห้องโดยสาร แต่จะมีเสียงเครื่องยนต์ดังบ้างในบ้างครั้งเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน
3. ไม่ต้องชาร์จไฟ
แม้รถยนต์ระบบ e-Power จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องชาร์จไฟให้ยุ่งยาก เพราะรถยนต์ใช้เครื่องยนต์เป็นตัวผลิตกระแสไฟ จึงไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ เพียงแต่ใช้การเติมน้ำมันเหมือนรถยนต์ทั่วไป
4. ประหยัดน้ำมัน
แม้จะใช้เครื่องยนต์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้มอเตอร์ แต่เครื่องยนต์ในระบบ e-Power ไม่ได้มีการทำงานตลอดเวลา จึงทำให้ประหยัดน้ำมัน โดยมีอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในเกณฑ์ของ ECO Car คือประมาณ 23.8 กม./ลิตร อีกทั้งยังปล่อยไอเสียในปริมาณที่ต่ำ คือ ไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร
e-Power ต่างจาก Hybrid อย่างไร
อย่างที่บอกไปว่ารถยนต์ระบบอี-พาวเวอร์ (e-Power) นั้นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์เป็นเครื่องปั่นไฟและส่งไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาขับเคลื่อน ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) ตรงที่รถยนต์ไฮบริดนั้นจะมีเครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก และมีพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์เข้ามาทำงานในช่วงความเร็วต่ำ และจะทำงานควบคู่กันเมื่อทำความเร็วสูง หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รถยนต์ไฮบริดขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเครื่องยนต์ ไม่ได้ขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าเหมือนรถยนต์ อี-พาวเวอร์ นั่นเอง
เมื่อเพื่อนๆ ได้รู้จักกันไปแล้วว่า เทคโนโลยี e-Power คืออะไร หากใครสนใจรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีดังกล่าว สามารถเข้าไปชมได้ที่โชว์รูมนิสสันกับรถยนต์ นิสสัน คิกส์ (Nissan Kicks) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แบบไหน จะใช้พลังงานไฟฟ้า หรือน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนๆ ก็ควรขับขี่กันอย่างปลอดภัย ไม่ประมาท และควรทำประกันรถยนต์ไว้ด้วยเพื่อความอุ่นใจ โดยสามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ
สนใจสมัครประกันรถยนต์
หากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถโทร.มาติดต่อสอบถามได้ที่ 02 710 3100 หรือแอดไลน์มาเป็นเพื่อนกับเราที่ @masii (มี @ ด้วยนะ) เพื่อติดตามข่าวสารและบทความดีๆ เกี่ยวกับ ประกันรถยนต์ ประกันมอเตอร์ไซค์ ประกันภัยโดรน ประกันเดินทาง และ ประกันสุขภาพ ได้เลยค่ะ