ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้า (EV-Electric Vehicle) เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากถึง 1.2 ล้านคัน ภายในปี พ.ศ. 2579 เพราะว่าถือเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดมลพิษได้ในอนาคต โดยรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีทั้งแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV (plug-in hybrid electric vehicles) และประเภทแบตเตอรี่ หรือ BEV (battery electric vehicles) ซึ่งรูปแบบการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้านั้น แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ แต่จะมีแบบไหน และจะมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไหนบ้าง ตาม masii ไปหาคำตอบกันเลยค่ะ
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีที่ไหนบ้าง
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ หรือ รถ BEV (battery electric vehicles)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว
2. รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV (plug-in hybrid electric vehicles)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ 2 ระบบ คือ ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (internal combustion engine : ICE) และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนร่วมกัน สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าได้เหมือนรถ BEV
3. รถยนต์ไฮบริด หรือ HEV (hybrid electric vehicles)
รถยนต์ไฮบริด เป็นรถยนต์ใช้เครื่องยนต์สลับกับมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นกัน แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
เมื่อทราบประเภทของรถยนต์ไฟฟ้ากันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูลักษณะการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าดีกว่า ซึ่งการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ควรชาร์จไฟจนเต็มประจุ 1 ครั้งทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นเซลล์เก็บประจุให้ทำงานครบ และช่วยลดการเสื่อมของแบตเตอรี่ โดยแบ่งการชาร์จแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ชาร์จไฟแบบปกติ
เป็นการชาร์จด้วยไฟ AC (ไฟฟ้ากระแสสลับ) ผ่านทาง On Board Charger ที่อยู่ภายในตัวรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำหน้าที่ในการแปลงไฟ AC ไปเป็นไฟ DC (ไฟฟ้ากระแสตรง) มีข้อจำกัดคือ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง โดยขนาดของตัว On Board Charger จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถยนต์และมีผลต่อระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
2. ชาร์จไฟแบบเร็ว
การชาร์จไฟแบบเร็วที่เราสามารถชาร์จได้ตามปั๊มน้ำมัน หรือสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งจะมีหัวชาร์จแบบพิเศษ ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้มากถึง 80% ในเวลาประมาณ 40 นาที โดยขึ้นกับปริมาณกระแสไฟที่จ่ายเข้า ซึ่งการชาร์จไฟแบบเร็วถือว่ามีความสะดวกรวดเร็วต่อผู้ขับขี่รถยนต์ที่ต้องเดินทาง ทำให้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ถูกสร้างขึ้นมากมายในประเทศไทยคล้ายกับการสร้างปั๊มน้ำมันนั่นเอง โดยมีผู้ประกอบการดังนี้
1. สถานีอัดประจุไฟฟ้า ของการไฟฟ้านครหลวง (MEA)
ปัจจุบันทางการไฟฟ้านครหลวงได้มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแล้วทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ กฟน. สำนักงานใหญ่, เขตวัดเลียบ, เขตสามเสน, เขตบางขุนเทียน, เขตลาดกระบัง, เขตราษฎร์บูรณะ, เขตบางเขน, เขตบางใหญ่, กฟน.สมุทรปราการ, กฟน. บางพูด
2. สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 11 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 4 ภูมิภาค เช่น อยุธยา, นครปฐม, ปากช่อง, นครราชสีมา และหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงเทพฯ และยังมีโครงการพัฒนาเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีก 10 จุดทั่วจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการใช้งานรถตุ๊กๆ ไฟฟ้าในอนาคต
3. การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT)
อีกหนึ่งหน่วยงานที่เป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานและการทดสอบใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า โดยดัดแปลงนำรถยนต์เก่ามาติดตั้งระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ปัจจุบัน กฟผ.ได้ติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ กฟผ. สำนักงานกลาง และโรงไฟฟ้าของกฟผ. จำนวน 23 สถานี โดยแบ่งเป็น สถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบธรรมดา 11 สถานี และแบบชาร์จไฟเร็ว 12 สถานี
4. บางจาก
ทางด้านบางจาก ก็ได้มีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้า 2 แห่ง แล้วในอนาคตจะยังมีการพัฒนารูปแบบธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท บางจาก โดยทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มีแผนเป็นผู้ลงทุนติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ Quick Charge ในพื้นที่ปั๊มน้ำมันบางจาก ทุกๆ 100 กิโลเมตร ตามถนนสายหลักของประเทศไทยรวม 62 สถานี ในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2564
5. ปตท. (PTT)
สำหรับทางด้าน ปตท. ก็ได้เปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า (PTT EV Station) แล้ว 14 แห่งทั่วประเทศ เช่น ปตท. วังน้อย อยุธยา, สระบุรี, สมุทรสาคร, คลองหลวง ปทุมธานี, พุทธมณฑล สาย 5 นครปฐม, สาขาโรงแยกก๊าซระยอง ระยอง, เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, ราษฎร์บูรณะ, ลาดพร้าว-วังหิน นวลจันทร์ เป็นต้น และยังได้ต่อยอดพัฒนาเครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบติดผนัง (EV Wall Charger) เพื่อจำหน่ายให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ารายย่อย
6. EA Anywhere
EA Anywhere จากบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น คาลเท็กซ์, ซีพี ออลล์, บริดจสโตน เอ.ซี.ที และ โรบินสัน ผุดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศทั้งกรุงเทพ โดยในปัจจุบันมีแล้วกว่า 400 แห่งกระจายทั่วประเทศ และภายในปี 2563 จะมีจุดชาร์จไฟ 1,000 แห่ง ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น หัวหินและพัทยา เป็นต้น
7. ChargeNow
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ChargeNow จากค่าย BMW ผู้นำเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ทุกแบรนด์และทุกรุ่น ซึ่งเกิดจากการร่วมมือของหลายบริษัท โดยในระยะแรก ChargeNow จะดำเนินการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสิ้น 50 สถานีกระจายทั่วประเทศ โดยมี Central Group และ AP เป็นพารท์เนอร์ในการให้บริการสถานีชาร์จ
8. EQ
ส่วนทางค่าย Mercedes-Benz ได้ขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ EQ โดยได้ร่วมมือกับ 3 เครือโรงแรมขยายจุดติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ได้แก่ Marriott International, Minor Hotels และ Hilton โดยปัจจุบันได้ดำเนินการกว่า 63 จุดทั่วประเทศ และจะขยายไปถึง 200 แห่งทั่วประเทศ
และสำหรับใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในขณะนี้ ก็ควรขับขี่กันอย่างปลอดภัย และถ้าจะให้ดีก็ควรทำประกันรถยนต์ไว้ด้วยเพื่อความอุ่นใจ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน รถหาย รถไฟไหม้ หรือ รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็ยังคงได้รับความคุ้มครอง โดยสามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ
สนใจสมัครประกันรถยนต์
หรือหากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถโทร.มาพูดคุยสอบถามทีมงานได้ที่ 02 710 3100 หรือแอดไลน์มาเป็นเพื่อนกับเราที่ @masii (มี @ ด้วยนะ) เพื่อติดตามข่าวสารและบทความดีๆ เกี่ยวกับ ประกันรถยนต์ ประกันมอเตอร์ไซค์ ประกันภัยโดรน ประกันการเดินทาง ประกันสุขภาพ รวมไปถึง สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิต จากสถาบันการเงินชั้นนำได้เลยค่ะ