น้ำท่วมรถ ทำอย่างไรดี ประกันรถยนต์คุ้มครองไหม คำถามนี้อาจอยู่ในใจของใครหลายคน ยิ่งในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงที่ลมพายุเข้าประเทศไทยในขณะนี้ ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมขังสูงหลายเมตร ส่งผลให้น้ำท่วมรถที่จอดบริเวณนั้น สร้างความเสียหายให้กับเจ้าของรถเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า หากซื้อประกันภัยรถยนต์ไว้ แล้วเกิดกรณีน้ำท่วมรถแบบนี้ ประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองหรือไม่ สามารถเคลมประกันได้หรือเปล่า เราไปหาคำตอบพร้อมกับ masii กันเลยค่ะ
น้ำท่วมรถ ทำอย่างไรดี ประกันรถยนต์คุ้มครองไหม
เวลาฝนตกหนักๆ นอกจากจะเป็นอุปสรรคในการขับรถแล้ว บางพื้นที่ยังอาจเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนน หรืออาจมีน้ำท่วมสูงจนเกือบมิดคันรถเลยก็มี ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมรถอย่างนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ โดยรูปแบบความคุ้มครองของประกันรถยนต์จะจัดอยู่ในความคุ้มครองประเภทภัยธรรมชาติ หากต้องการซื้อประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองน้ำท่วม จะมี 3 ประเภทดังนี้
ประกันรถยนต์ที่คุ้มครองน้ำท่วม
- ประกันรถยนต์ชั้น 1
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางกรมธรรม์)
- ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางกรมธรรม์)
น้ำท่วมรถกรณีใดบ้าง ที่ประกันรถยนต์คุ้มครอง
1. น้ำท่วมรถ ขณะจอดรถอยู่ที่บ้าน หรือลานจอดรถ
ประกันรถยนต์จะคุ้มครองรถยนต์คันเอาประกัน ในกรณีที่จอดรถอยู่ที่บ้านหรือที่ลานจอดรถ แล้วเกิดพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วม หรือน้ำป่าไหลหลาก ไม่สามารถย้ายรถได้ทัน ทำให้น้ำท่วมรถ หรือเข้ารถบางส่วน
2. น้ำท่วมรถ ขณะเดินทางบนท้องถนน
หากขณะขับรถอยู่บนถนน หรือรถติดแล้วเกิดฝนตกหนักนานหลายชั่วโมงจนน้ำท่วมขัง และทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย ก็สามารถติดต่อขอเคลมประกันรถยนต์ได้
3. หากตั้งใจขับผ่านน้ำท่วม ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง
ทั้งนี้ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองกรณีที่ผู้ขับขี่รู้อยู่แล้วว่าทางข้างหน้ามีน้ำท่วมสูง แต่ก็ยังขับรถลุยน้ำท่วมไป จนรถเกิดความเสียหาย น้ำท่วมเข้ามาภายในห้องโดยสาร น้ำเข้าห้องเครื่อง หรือเครื่องยนต์ดับ อย่างนี้จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เนื่องจากมีเจตนาขับรถลุยน้ำท่วม และเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่เอง
4. น้ำท่วมรถนอกอาณาเขต ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง
อีกกรณีหนึ่งที่ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครองผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์ในกรณีน้ำท่วมรถ นั่นก็คือ กรณีที่ขับรถไปต่างประเทศ เช่น ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง แล้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ก็ไม่สามารถขอเคลมประกันรถยนต์ได้ เพราะถือว่ารถยนต์ประสบเหตุนอกอาณาเขตประเทศไทย ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ประกันรถยนต์ไม่ให้ความคุ้มครองนั่นเอง
เกณฑ์การพิจารณาค่าสินไหมทดแทน
สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายในกรณีน้ำท่วมรถนั้น ทางบริษัทประกันจะมีการแบ่งตามความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์คันเอาประกัน เป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง (Total loss)
กรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง หมายถึง รถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมให้กลับไปในสภาพเดิมได้ เช่น น้ำท่วมมิดคัน หรือ น้ำท่วมเกินคอนโซลหน้า จนห้องโดยสารเกิดความเสียหายทั้งหมด และไม่สามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้อีก หรือไม่คุ้มที่จะซ่อม โดยทางบริษัทประกันจะประเมินเงินชดเชยเป็น 70-80 % ของทุนประกัน ซึ่งผู้เอาประกันควรถ่ายรูปรถที่เกิดเหตุให้ชัดเจนเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเคลมประกัน
2. กรณีเสียหายบางส่วน (Partial loss)
แต่ในกรณีที่รถยนต์ถูกน้ำท่วมเพียงบางส่วน เช่น น้ำท่วมมิดล้อ ท่วมช่วงล่าง ทำให้ไม่สามารถเบรกรถได้ปกติ หรือรู้สึกว่าขับรถได้ไม่ดีเหมือนเดิม ทางบริษัทประกันจะประเมินสภาพรถยนต์ว่ายังสามารถซ่อมแซมได้ และจะชดเชยค่าเสียหายเฉพาะค่าซ่อมรถที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น เช่น ค่าซ่อมเครื่องยนต์ ค่าซ่อมระบบไฟต่างๆ ค่าซ่อมอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ค่าทำความสะอาดพรมพื้นรถหรือเบาะรถ เป็นต้น
น้ำท่วมรถ เคลมประกันอย่างไร
หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรถ แล้วได้ตรวจสอบแล้วว่าประกันรถยนต์ที่ทำอยู่นั้น คุ้มครองกรณีน้ำท่วมรถด้วย ให้เพื่อนๆ เตรียมเอกสารสำหรับการเคลมประกันรถยนต์ ดังนี้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และใบขับขี่ของเจ้าของรถ
- กรมธรรม์ประกันภัยของรถยนต์
- สมุดคู่มือประจำรถยนต์
- หลักฐานขณะเกิดเหตุ เช่น ภาพถ่ายขณะน้ำท่วมรถ
- ในกรณีที่ไม่มีหลักฐาน ให้ระบุว่าน้ำท่วมสูงถึงระดับไหน พร้อมแจ้งวันเวลาเกิดเหตุ หรือมีใบแจ้งความ
เมื่อเตรียมเอกสารครบแล้ว ให้รีบแจ้งบริษัทประกัน โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบสภาพรถแล้ว จะได้รับใบเคลมที่สามารถนำไปยื่นกับอู่ซ่อมรถ หรือศูนย์ซ่อมเพื่อทำการประเมินราคา และรอซ่อมในลำดับต่อไป
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+ เจมาร์ทประกันภัย คุ้มครองน้ำท่วม
สำหรับใครที่ต้องการซื้อประกันภัยรถยนต์ ที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ำท่วม วันนี้ masii ก็มีประกันรถยนต์ที่น่าสนใจมาฝาก นั่นก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จาก เจมาร์ทประกันภัย (เจพี ประกันภัยเดิม) ที่คุ้มครองกรณีน้ำท่วมรถ แถมยังคุ้มครอง ยาง แบตเตอรี่ และสารเหลวในรถยนต์ รับทั้งรถเก๋งและรถกระบะ 2 ประตู และรถกระบะ 4 ประตู โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเภทความคุ้มครอง | ความเสียหายต่อรถยนต์ กรณีชนกับยานพาหนะทางบก | รถยนต์สูญหาย หรือไฟไหม | คุ้มครองภัยน้ำท่วม |
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ | ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย | ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย | ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย |
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ | ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย | – | ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย |
เบี้ยประกันภัยรถยนต์ 2+ 3+ คุ้มครองน้ำท่วม
ประเภท 2+ (รับรถอายุสูงสุด 15 ปี) | ||||
จำนวนเงินเอาประกันภัย | รถเก๋ง และรถกระบะ 4 ประตู | รถกระบะ 2 ประตู | ||
100,000 | 6,050 | 6,800 | ||
200,000 | 6,795 | 7,300 |
ประเภท 3+ (รับรถอายุสูงสุด 20 ปี) | ||||
จำนวนเงินเอาประกันภัย | รถเก๋ง และรถกระบะ 4 ประตู | รถกระบะ 2 ประตู | ||
100,000 | 5,120 | 5,500 | ||
200,000 | 6,237 | 6,700 |
เรื่องของฝนฟ้าอากาศเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ใครจะไปคิดว่าจอดรถอยู่ดีๆ พอฝนนตกหนัก น้ำก็ท่วมเกือบมิดคันซะอย่างงั้น เพื่อความอุ่นใจ มาสิแนะนำว่าควรซื้อประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองน้ำท่วมไว้ด้วยก็จะดี ไม่ว่าจะเป็น ซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือ ประกันรถยนต๋ชั้น 2+ และ 3+ จากเจมาร์ท ประกันภัย ที่มาสิแนะนำกันไป หรือหากใครต้องการ ซื้อประกันรถยนต์ ออนไลน์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้เลย
สนใจสมัครประกันรถยนต์
หรือหากมีข้อสงสัยและต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถโทร.มาพูดคุยปรึกษากับทีมงานมาสิได้ที่ 02 710 3100 หรือแอดไลน์มาเป็นเพื่อนกับเราที่ @masii (มี @ ด้วยนะ) เพื่อติดตามข่าวสารและบทความดีๆ เกี่ยวกับ ประกันรถยนต์ ประกันมอเตอร์ไซค์ ประกันบิ๊กไบค์ ประกันภัยโดรน ประกันเดินทาง ประกันสุขภาพ รวมถึง สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินชั้นนำได้เลยค่ะ