สายทุเรียนห้ามพลาด ทุเรียน พันธุ์ไหนมีน้ำตาลเท่าไหร่ ชนิดไหนมากที่สุดเช็คที่นี่ กินเท่านี้ดีที่สุด…พร้อมเสริมความคุ้มครองในการดูแลสุขภาพด้วย ประกันสุขภาพ

ทุเรียน
สายทุเรียนห้ามพลาด ทุเรียน พันธุ์ไหนมีน้ำตาลเท่าไหร่ ชนิดไหนมากที่สุดเช็ค ที่นี่...กินเท่านี้ดีที่สุด
สมัครรถแลกเงินโปรโมชั่น แจกฟรี Voucher Lazada

ประเทศไทยของเราจัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความหลายและสมบูรณ์ทั้งไม่ว่าจะเป็นผู้คน ศิลปะวัฒนธรรม อาหารการกิน หรือแม้แต่เรื่องพืชผลทางการเกษตรที่มีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปให้มีกินในทุก ๆ ฤดู อย่างในหน้าร้อนนี้อีกหนึ่งผลไม้ขึ้นชื่อที่จัดได้ว่าเป็นถึงราชาผลไม้อย่าง ทุเรียน ของไทย ที่ไม่ว่าช่วงนี้จะเดินทางไปที่แห่งหน ตำบลไหนก็จะพบได้กับร้านขายทุเรียนที่เรียงรายอยู่ ซึ่งก็ต้องบอกได้ว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศไทยของเรา และในต่างประเทศเองก็ให้ความสนใจด้วย จึงเห็นได้ว่ามีการพัฒนาสายพันธุ์ที่หลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลถึงรสชาติที่แตกต่าง ความหอมหวาน และเนื้อสัมผัสที่ต่างกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งแม้ว่าทุเรียนจะจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทผลไม้ แต่ก็จัดได้ว่าเป็นผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงจึงควรบริโภคแต่น้อย ดังนั้น วันนี้ มาสิ หยิบเอากับอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับปริมาณน้ำตาลในทุเรียนมาฝากกัน ว่าทุเรียนสายพันธุ์ไหน ทุเรียนชนิดใดจะมีน้ำตาลมากที่สุด จะได้เอาไปใช้เลือกกินได้อย่างถูกใจกัน พร้อมเสริมความคุ้มครองในการดูแลสุขภาพด้วย ประกันสุขภาพ

ทุเรียน
ทุเรียน

“ ทุเรียน ” ผลไม้ไทยดังไกลทั่วโลก ใครได้ลองทานแล้วต้องติดใจ

เมื่อพูดถึงผลไม้ที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงฤดูร้อนปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ทุเรียน” คือ ตัวเลือกที่โดนใจ ซึ่งเมื่อพูดถึงผลไม้ชนิดนี้เองก็มีหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทาน และปัจจุบันยังมีการผลิตแปรรูปที่มากมาย แต่ทั้งนี้หากรับประทานมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อร่างกายได้ โดยสายพันธุ์ทุเรียนชื่อดังของไทย ตัวอย่างเช่น

1.หมอนทอง

เป็นพันธุ์ดังที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ส่วนใหญ่จะถูกปลูกในจังหวัดทางภาคตะวันออกอย่าง จันทบุรี ระยอง ตราด รสชาติหวานกำลังดี ไม่มันเกินไป และกลิ่นไม่ค่อยแรงมาก เนื้อจะมีความกรอบนอกนุ่มใน เนียนละเอียด มีสีเหลืองอ่อน แห้ง ไม่แฉะติดมือ ส่วนเมล็ดจะมีความเล็กและลีบ

2.ชะนี

เป็นอีกสายพันธุ์ทุเรียนที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยที่จะมีเนื้อเป็นสีเข้ม สัมผัสได้ถึงความเหนียวจากเส้นใยที่มีอยู่เยอะพอควร กลิ่นจัดว่าแรงโดยเฉพาะช่วงเวลาที่สุกงอมก็จะแรงเพิ่มมากขึ้น รสหวานแหลม

ทุเรียน
ทุเรียน

3.พวงมณี

เรียกได้ว่าเป็นทุเรียนพื้นเมืองของภาคตะวันออก มีรสชาติหอมอร่อยไม่แพ้หมอนทองเลยทีเดียว ความโดดเด่นของสายพันธุ์นี้จะมีรสชาติหวานจัด สีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียด ไม่มีเส้นใย ผลเล็กกว่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เห็นโดยทั่วไป

4.หลง – หลินลับแล

เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ จะมีลักษณะเนื้อที่แน่น แห้ง ไม่เลอะติดมือ กลิ่นไม่แรงมาก มีความหอมมัน รสหวานจัด แต่ราคาจะค่อนข้างแพงเพราะสามารถปลูกได้ในพื้นที่เฉพาะเท่านั้น

5.ก้านยาว

สุดท้ายเป็นสายพันธุ์ที่พบเห็นได้บ่อยพอ ๆ กับหมอนทอง หรือชะนี โดยที่จะมีลูกใหญ่ เนื้อเหนียวนุ่ม ละเอียด เส้นใยน้อย เมื่อสุกได้ที่แล้วกลิ่นก็จะยังไม่แรงมาก และจับได้ไม่แฉะติดมือ แต่เรื่องของราคาก็จัดว่าสูงอยู่พอตัวเลยทีเดียว

ทุเรียนน้ำตาลเยอะจริงไหม ทุเรียนสายพันธุ์ไหนน้ำตาลเยอะสุด

เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา (เม.ย.66) นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jiraruj Praise โดยมีข้อความระบุว่า ทุเรียนน้ำตาลเยอะจริงหรือไม่ ซึ่งท่านได้ให้คำตอบไว้ว่า ทุเรียนพันธุ์ที่มีน้ำตาลมากที่สุด คือ “หมอนทอง” นำโด่งสุด ปริมาณน้ำตาล ต่อ 100 กรัม (2-3เม็ดกลาง) ส่วนพันธุ์ที่น้ำตาลน้อยที่สุด คือ “ชะนีไข่” ซึ่งต่ำทั้ง ฟรุกโตส และกลูโคส

ทุเรียน
Photo By : หนังสือ ปริมาณน้ำตาลในผลไม้ไทย โดย สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ก.ค. 2557 /หมอจิรรุจน์
  • ทุเรียนหมอนทอง น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาลทั้งหมด 21.3 กรัม
  • ทุเรียนกระดุม น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาลทั้งหมด 11.3 กรัม
  • ทุเรียนก้านยาง น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาลทั้งหมด 12.9 กรัม
  • ทุเรียนชะนีไข่ น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาลทั้งหมด 7.7 กรัม

ซึ่งอย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่คุณหมอจิรรุจน์ต้องการสื่อสาร ก็คือ ไม่ว่าทุเรียนพันธุ์ไหนๆ ก็ดูเหมือน ปริมาณน้ำตาลจะน้อยกว่าน้ำตาลในชานมไข่มุก ตามท้องตลาด ซึ่งน้ำตาลเทียบเท่ามีน้ำตาลทราย 10-18 ช้อนชาต่อแก้ว และตามความเป็นจริงผลไม้สดเองก็ไม่ได้ปลอดปล่อยน้ำตาลได้รวดเร็ว จนกระตุ้นอินซูลินอย่างมาก เนื่องจากตัวเขามีไฟเบอร์ หรือ เส้นใยที่จะขัดขวางการปลอดปล่อยน้ำตาลได้ดีอยู่แล้ว

ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียน

แม้ว่าทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่มีหลาย ๆ คนชื่นชอบรับประทานเป็นอย่างมาก แต่หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเท่าไรนัก ดังนั้น การศึกษาเกี่ยวกับข้อควรระวังในการรับประทานจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยไปได้ โดยคุณหมอจิรรุจน์ ยังบอกอีกด้วยว่าเมื่อเจาะลงไปถึง ฟรุกโตสน้ำตาลเจ้าปัญหา ก็ดูเหมือนว่าปริมาณฟรุกโตสต่อ 100 กรัม ก็ดูจะน้อยกว่ากล้วยน้ำหว้า (11.6 กรัมต่อ100กรัม) เสียอีก หากกำลังอยู่ในช่วงของการลดคาร์บลง ขอให้นำปริมาณคาร์บ (น้ำตาล) ที่ได้ ไปหักออกจากที่สามารถกินได้ในแต่ละวันด้วย เช่น ทานคาร์บวันละ 150 กรัม กินทุเรียนไปกี่เม็ด ก็ให้นำปริมาณน้ำตาลไปหักด้วย (อันนี้คร่าวๆ)  หรือในคนที่เป็นเบาหวาน “ทุเรียน” ก็ยังสามารถทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงได้  สำหรับบุคคลทั่วไป ทุเรียนก็จัดเป็นผลไม้ที่ดีในเรื่องของปริมาณน้ำตาล และยังมีโฟเลต เบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  นอกจากนี้ในการรับประทานทุเรียนยังมีขอควรระวังอื่น ๆ อีกเช่น

ทุเรียน
ทุเรียน

1.รับประทานมากเกินไป ทำให้ท้องอืด

เพราะผลไม้ชนิดนี้มีแก๊สและกรด จึงทำให้หลังจากที่รับประทานไปแล้วมักรู้สึกร้อนท้อง รวมถึงแน่นท้อง ท้องอืด ส่วนใหญ่สาเหตุเนื่องจากการเลือกเนื้อห่าม นอกจากกรด แก๊ส ก็ยังมีแป้งเยอะระบบการย่อยจึงทำงานได้ยากลำบากมากขึ้น

2.ให้แคลอรี่มาก

แม้จะเป็นผลไม้รสชาติดีที่สามารถรับประทานไปได้เพลิน ๆ  แต่หากรับประทานมากเกินไปย่อมส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่มีสิทธิ์ขึ้นง่าย ซึ่งทุเรียน 100 กรัม มีแคลอรี่สูงถึง 150-160 แคลอรี่ โดยให้โภชนาการในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง

3.ห้ามรับประทานพร้อมกับการดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด

สำหรับใครที่เป็นทั้งสายดื่ม และสายทุเรียน ไม่ควรรับประทานทานพร้อมกันเด็ดขาด จากข้อมูลของแหล่งที่มาจาก “นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama” ระบุว่า ทุเรียนมีสารประกอบซัลเฟอร์สูง ซึ่งสารนี้ทำให้เอนไซม์ ALDH ทำงานชะงัก ทำให้ร่างกายเราเมื่อดื่มเหล้าเข้าไปในห้วงเวลาที่รับประทานทุเรียนอยู่แล้วด้วย จะไม่สามารถทำลายแอลกอฮอล์ได้สมบูรณ์ จนอาจเกิดอาการต่างๆ เช่น ใจสั่น ปวดหัว เวียนหัว และอาจมีบางรายที่มีอาการรุนแรงได้

ขอขอบคุณ : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร, ฐานเศรษฐกิจ และ หมอจิรรุจน์

ดังนั้น แม้ว่าจะชื่นชอบในการรับประทานทุเรียนมากขนาดไหน ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมัน ลดความเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพที่มีโอกาสตามมาภายหลังด้วย นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าเรื่องของอาหารการกินนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคำพูดที่ใครหลายคนได้กล่าวไว้เลยว่า “กินอย่างไร มักที่จะได้อย่างนั้น” ดังนั้นแล้ว เรื่องเลือกบริโภคอาหารที่ดี มีประโยชน์ และถูกสุขลักษณะจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตัวเรา และนี่ก็เป็นเพียงสาระดี ๆ ที่ มาสิ ได้หยิบเอามาฝากกัน ทีนี้เมื่อได้อ่านคงตระหนักได้แล้วว่าไม่มีอะไรจะสำคัญได้เท่ากับสุขภาพของเรา ดังนั้นแล้ว มาเสริมความคุ้มครองในชีวิตกับ ประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care จาก วิริยะประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองครบทั้งการเจ็บป่วย และบาดเจ็บ จะมีความน่าสนใจอย่างรบ้างนั้น ตามมาสิไปดูกัน

ประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care

จาก วิริยะประกันภัย

ประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care จาก วิริยะประกันภัย
ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care จาก วิริยะประกันภัย

จุดเด่นที่น่าสนใจ

  1. คุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยใน เหมาจ่ายต่อครั้งสูงสุด 5 ล้าน
  2. คุ้มครองค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการ ผู้ป่วยในสูงสุด 12,000/วัน
  3. สามารถต่ออายุได้ถึง 100 ปี
  4. ไม่มีเคลม มีเงินคืน
  5. ไม่ปฏิเสธการต่ออายุแม้มีเคลม
  6. สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท
  7. ไม่ต้องสำรองจ่าย กรณีเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเครือ ที่มีคู่สัญญากว่า 500 แห่งในประเทศไทย

เงื่อนไขการรับประกันภัย

  1. สมัครได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน – 65 ปี
  2. ผู้เอาประกันภัยอายุ ไม่เกิน 60 ปี สามารถต่ออายุได้ถึง 100 ปี
  3. ผู้เอาประกันภัยอายุ 61 – 65 ปี สามารถต่ออายุได้ถึง 70 ปี
  4. ผู้เอาประกันที่อายุระหว่าง 15 วัน ถึง 15 ปี ต้องสมัครพร้อมบิดาหรือมารดาอย่างน้อย 1 คน และแผนประกันจะต้องให้ความคุ้มครองที่ต่ำกว่าหรือเทียบเท่ากับบิดาหรือมารดาหรือผู้ปกครองโดยชอบธรรม
  5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาใบคำขอฯ ตามหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของบริษัท และผ่านเกณฑ์การพิจารณารับประกันภัยของบริษัท
  6. ความคุ้มครองการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจะคุ้มครองทันที ในวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับครั้งแรก

เงื่อนไขและข้อยกเว้นที่สำคัญ

  1. การเจ็บป่วยใด ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 30 วัน (Waiting Period) หลังจากที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับครั้งแรก
  2. การเจ็บป่วยดังต่อไปนี้ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 120 วัน (Waiting Period) หลังจากที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับครั้งแรก เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด, ริดสีดวงทวาร, ไส้เลื่อนทุกชนิด, ต้อเนื้อ หรือต้อกระจก, การตัดทอนซิล หรืออดีนอยด์, นิ่วทุกชนิด, เส้นเลือดขอดที่ขา, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  3. โรคที่เป็นมาแต่กำเนิด โรคเรื้อรัง การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยที่ยังมิได้รักษาให้หาย ก่อนวันทำสัญญาประกันภัย
หมายเหตุ
  1. เบี้ยประกันภัยสำหรับปีต่ออายุจะปรับเปลี่ยนตามอายุที่เปลี่ยนแปลง และประวัติการเคลม
  2. เงื่อนไขและข้อยกเว้นข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โปรดศึกษารายละเอียด และข้อยกเว้นความคุ้มครองเพิ่มเติมในกรมธรรม์ประกันภัย
  3. ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันทุกครั้ง
สนใจสมัครประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรมาสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ 02 710 3100 หรือแอดไลน์ @masii ( มี @ ด้วยนะครับ ) เพื่อติดตามข่าวสารและบทความดีๆ ที่ มาสิบล็อก เกี่ยวกับ บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน และผลิตภัณฑ์ทางการเงินจากสถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประกันสุขภาพ

_____________________________________________

Please become Masii Fan

Facebook: https://lnkd.in/gFFh8mh

Website: www.masii.co.th

Blog: https://masii.co.th/blog

Line: @masii

Tel: 02 710 3100 

Youtube: https://lnkd.in/gbQf9eh

Instagram: https://lnkd.in/ga4j5ri

Twitter: twitter.com/MasiiGroup

#สินเชื่อ #ประกัน

#รถแลกเงิน #บ้านแลกเงิน #สินเชื่อส่วนบุคคล

#บัตรกดเงินสด #เงินด่วนทันใจ #สินเชื่อส่วนบุคคลออนไลน์

#กู้เงิน #เงินสด #เงินก้อน #เงินด่วน #เงินกู้ทันใจ #masii

#มาสิ #ครบง่ายสะดวก #เพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า

#ครบง่ายสะดวกเพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า #SimplifiedComparison