เคยได้ยินหรือไม่ว่า “น้ำตาล” คือ ยาพิษ ที่เมื่อเมื่อบริโภคเข้าไปเยอะย่อมที่จะส่งผลเสียให้เกิดขึ้นกับร่างกายของเราได้ ทั้งไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความโรคอ้วย ซึ่งอันจะก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา แต่ทั้งนี้ แม้ว่า ของหวาน จะเป็นอาหารที่ทำให้คนมีความสุข แต่ในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก การรับประทานของหวาน จึงกลายเป็นศัตรูสำคัญของการลดน้ำหนักได้ ดังนั้น วันนี้มารู้จักกับวิธีหยุดทานของหวานอน่างไร โดยไม่ทำให้คนรักของหวานรู้สึกเครียดจากคำแนะของคนญี่ปุ่นกัน ซึ่งจะมีรายละเอียดใดที่น่าสนใจกันบ้าง ว่าแล้วก้ตาม มาสิ ไปอ่านกัน
เพราะน้ำตาล คือ ยาพิษ สาย ของหวาน ต้องระวัง
เมื่อหลายคนได้ยินคำนี้ คงนึกเอ๊ะใจขึ้นมาว่าแล้วอย่างนี้เราจะกินน้ำตาลต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ยังสามารถทานได้ตามปกติ แต่ต้องควบคุมปริมาณให้พอดีต่อวัน เพราะอย่าลืมว่า “ น้ำตาลคือยาพิษ ” ถ้าทานเข้าไปมาก ๆ จะมีแต่โทษและไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากสร้างความสุขชั่วคราวแต่จะทิ้งโรคไว้ในร่างกายของเราตลอดไป เรามาดู “โทษของน้ำตาล” ให้ทราบคร่าว ๆ กัน
1.น้ำตาลเป็นสารเร่งผิวหนังเหี่ยวย่นและริ้วรอย ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ผิวเสียหน้าแก่ได้
2.น้ำตาลทำให้อ้วน แน่นอนเรื่องนี้เรารู้กันดี เพราะ ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมากเกินความต้องการไปสะสมกลายเป็นไขมันนั้นเอง
3.น้ำตาลทำให้สมดุลของเลือดเสียไป เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งเพิ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ด้วย
4.น้ำตาลทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง น้ำตาลมีส่วนผสมของซูโครส ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีให้กับเหล่าแบคทีเรียที่อยู่ ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และคราบต่าง ๆ
5.น้ำตาลทำให้ร่างกายเซื่องซึม การกินน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำแทนที่จะสดชื่น กลับทำให้กรดอะมิโน ที่ชื่อว่า ทริปโตฟานเข้าสู่สมองมาเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมองมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึมได้
เปิด 5 วิธีหยุดทานของหวานอย่างไร ไม่ทำให้รู้สึกเครียด ฉบับคนญี่ปุ่น
เมื่อน้ำตาล ของหวาน คือ ยาพิษ และขนมหวานที่มีปริมาณแคลอรี่สูงเป็นอาหารที่ทำให้อ้วนได้ง่าย ดังนั้น เมื่อเริ่มตั้งเป้าหมายในการที่จะดูแลตัวเอง ไม่ว่าลดน้ำหนักหรือคุมอาหาร คนส่วนใหญ่มักคิดหยุดทานขนมหวานเป็นอันดับแรก ซึ่งจะเลิกทานขนมหวานได้หรือไม่นั้นไม่เกี่ยวว่ามีจิตใจเข้มแข็งหรืออ่อนแอ แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์ที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ทำให้รู้สึกเครียด ซึ่งตามคำแนะนำของชาวญี่ปุ่นมีวิธีดังต่อไปนี้
1.รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
การรับประทานทานขนมหวานเยอะมีสาเหตุมาจากความหิวเพราะทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือไม่รับประทานอาหารบางมื้อ การรับประทานอาหารวันละสามมื้อในเวลาที่ห่างกันอย่างเหมาะสมจะทำให้รู้สึกอิ่มและรับประทานของหวานน้อยลง
2.ไม่รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว
หากงานยุ่งหรืออาศัยอยู่ตามลำพังก็มีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารง่ายๆ ที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมปัง 2 ชิ้นเป็นอาหารมื้อเข้า สปาเก็ตตี้หรือราเม็งเป็นอาหารมื้อเที่ยง และข้าวหน้าเนื้อเป็นอาหารมื้อเย็น เป็นต้น การรับประทานอาหารที่มีแป้งสูงจะทำให้รู้สึกหิวเร็วแม้ว่ารับประทานเข้าไปในปริมาณมาก แทนการรับประทานอาหารจานเดียวที่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตสูง ให้ลองเพิ่มผัก โปรตีน และซุปลงไปในมื้ออาหาร ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มนานจนไม่นึกอยากกินขนมหวาน
3.อย่าจำกัดปริมาณอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
คนจำนวนมากจำกัดปริมาณแป้งเพื่อลดน้ำหนัก แต่การจำกัดและลดปริมาณอาหารประเภทแป้งมากเกินไปจะทำให้รู้สึกอยากรับประทานของหวานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานที่มีปริมาณพลังงานสูง เช่น ช็อกโกแลต ขนมอบ และเค้ก เป็นต้น เหตุผลที่ทำให้อยากรับประทานของหวานมากขึ้นเพราะว่าร่างกายจะส่งสัญญาณการขาดพลังงานไปยังสมอง ทำให้สมองสั่งการให้ร่างกายหาของหวานมาทดแทนพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่สามารถหยุดรับประทานของหวานได้ สิ่งแรกที่ควรทำคือให้รับประทานอาหารมื้อหลักที่มีอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวและเมล็ดธัญพืช เป็นต้น จนรู้สึกว่าอิ่มอย่างพึงใจ ซึ่งจะส่งผลให้อยากรับประทานขนมหวานน้อยลง
4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ตอนที่ออกกำลังกายระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นชั่วคราวและทำให้ความรู้สึกหิวหายไป ในขณะเดียวกันการออกกำลังกายจะช่วยบรรเทาความเครียดและความเหนื่อยล้าทางกายจึงช่วยป้องกันความรู้สึกอยากรับประทานขนมหวานที่มีสาเหตุมาจากความเครียดได้ดี มีคนจำนวนมากสามารถหยุดรับประทานขนมหวานได้จากการหมั่นออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการวิ่งหรือการออกกำลังกายหนักๆ แค่เดินให้มากกว่าปกติก็สามารถช่วยลดความอยากรับประทานขนมหวานได้
5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หากนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนดึกเป็นประจำจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนและส่งผลให้รู้สึกมีความอยากกินอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การนอนดึกจะทำให้รู้สึกหิวและทำให้รับประทานอาหารว่างรวมถึงขนมหวานได้ง่ายขึ้น ดังนั้นลองพยายามปรับเวลานอนให้เร็วขึ้นเพื่อให้นอนหลับได้สนิทและช่วยป้องกันไม่ให้รู้สึกอยากรับประทานขนมหวานได้ดี
และนี่ก็เป็นเพียงสาระดี ๆ ที่ มาสิ ได้หยิบเอามาฝากกันในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ แต่ก็อย่างว่าใกล้ปีใหม่แล้วทั้งทีอะไรที่ไม่ไดีก็ปล่อยทิ้งไป แล้วหันกลับมาดูแลและใส่ใจกับสุขภาพของเรากันดีกว่า สำหรับใครที่กำลังมองหา หรือยังไม่รู้ว่าปีใหม่นี้จะซื้ออะไรให้เป็นของขวัญให้กับตัวเองดี มาสิ ก็แนะนำกับอีกหนึ่งตัวเลือกดี ๆ อย่างประประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care จาก วิริยะประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองครบทั้งการเจ็บป่วย และบาดเจ็บ จะมีความน่าสนใจอย่างรบ้างนั้น ตามมาสิไปดูกัน
ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care
จาก วิริยะประกันภัย
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- คุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยใน เหมาจ่ายต่อครั้งสูงสุด 5 ล้าน
- คุ้มครองค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการ ผู้ป่วยในสูงสุด 12,000/วัน
- สามารถต่ออายุได้ถึง 100 ปี
- ไม่มีเคลม มีเงินคืน
- ไม่ปฏิเสธการต่ออายุแม้มีเคลม
- สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท
- ไม่ต้องสำรองจ่าย กรณีเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเครือ ที่มีคู่สัญญากว่า 500 แห่งในประเทศไทย
เงื่อนไขการรับประกันภัย
- สมัครได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน – 65 ปี
- ผู้เอาประกันภัยอายุ ไม่เกิน 60 ปี สามารถต่ออายุได้ถึง 100 ปี
- ผู้เอาประกันภัยอายุ 61 – 65 ปี สามารถต่ออายุได้ถึง 70 ปี
- ผู้เอาประกันที่อายุระหว่าง 15 วัน ถึง 15 ปี ต้องสมัครพร้อมบิดาหรือมารดาอย่างน้อย 1 คน และแผนประกันจะต้องให้ความคุ้มครองที่ต่ำกว่าหรือเทียบเท่ากับบิดาหรือมารดาหรือผู้ปกครองโดยชอบธรรม
- บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาใบคำขอฯ ตามหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของบริษัท และผ่านเกณฑ์การพิจารณารับประกันภัยของบริษัท
- ความคุ้มครองการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจะคุ้มครองทันที ในวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับครั้งแรก
เงื่อนไขและข้อยกเว้นที่สำคัญ
- การเจ็บป่วยใด ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 30 วัน (Waiting Period) หลังจากที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับครั้งแรก
- การเจ็บป่วยดังต่อไปนี้ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 120 วัน (Waiting Period) หลังจากที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับครั้งแรก เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด, ริดสีดวงทวาร, ไส้เลื่อนทุกชนิด, ต้อเนื้อ หรือต้อกระจก, การตัดทอนซิล หรืออดีนอยด์, นิ่วทุกชนิด, เส้นเลือดขอดที่ขา, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- โรคที่เป็นมาแต่กำเนิด โรคเรื้อรัง การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยที่ยังมิได้รักษาให้หาย ก่อนวันทำสัญญาประกันภัย
หมายเหตุ
- เบี้ยประกันภัยสำหรับปีต่ออายุจะปรับเปลี่ยนตามอายุที่เปลี่ยนแปลง และประวัติการเคลม
- เงื่อนไขและข้อยกเว้นข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โปรดศึกษารายละเอียด และข้อยกเว้นความคุ้มครองเพิ่มเติมในกรมธรรม์ประกันภัย
- ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันทุกครั้ง
สนใจสมัครประกันสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล V Prestige Care
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรมาสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ 02 710 3100 หรือแอดไลน์ @masii ( มี @ ด้วยนะครับ ) เพื่อติดตามข่าวสารและบทความดีๆ ที่ มาสิบล็อก เกี่ยวกับ บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน และผลิตภัณฑ์ทางการเงินจากสถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประกันสุขภาพ
-
” เบบี้คริสตัล ” คืออะไร หาคำตอบ ทำไมถึงอันตรายมากๆ สำหรับเด็ก
-
สาย อาหารเสริม ระวังไว้ “วิตามินบี 6” กินมากเกินไป เสี่ยงเส้นประสาทอักเสบได้
-
โควิด 19 ตรวจ ATK เดี๋ยวบวกเดี๋ยวลบ 10วันแล้วยังบวกทำอย่างไรดี?
-
masii รีวิว I ประกันสุขภาพ เปรียบเทียบ ที่ไหนดี เคลมง่าย 2566
-
สายดูแลสุขภาพต้องลองสูตรนี้ ออกแรงหนักๆ 3 ครั้ง 3 นาที ลดเสี่ยงโรคหัวใจ-มะเร็งได้ 40%
_____________________________________________
Please become Masii Fan
Facebook: https://lnkd.in/gFFh8mh
Website: www.masii.co.th
Blog: https://masii.co.th/blog
Line: @masii
Tel: 02 710 3100
Youtube: https://lnkd.in/gbQf9eh
Instagram: https://lnkd.in/ga4j5ri
Twitter: twitter.com/MasiiGroup
#สินเชื่อ #ประกัน
#รถแลกเงิน #บ้านแลกเงิน #สินเชื่อส่วนบุคคล
#บัตรกดเงินสด #เงินด่วนทันใจ #สินเชื่อส่วนบุคคลออนไลน์
#กู้เงิน #เงินสด #เงินก้อน #เงินด่วน #เงินกู้ทันใจ #masii
#มาสิ #ครบง่ายสะดวก #เพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า
#ครบง่ายสะดวกเพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า #SimplifiedComparison