MG (Morris Garages) เป็นรถยนต์สปอร์ตสัญชาติอังกฤษที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั่วโลกและกำลังเริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ด้วยการนำเสนอจุดเด่นของรถยนต์ใช้งานแบบ 4 ที่นั่ง แต่มีเครื่องยนต์แบบสปอร์ต ที่ทำให้หลายคนตัดสินใจทิ้งแบรนด์ที่ได้รับความยนิยมในตลาดมาเลือกรถยนต์ยี่ห้อนี้ไปขับโฉบเฉี่ยวบนท้องถนนแทนนั่นเอง
รถส่วนตัวสายพันธ์สปอร์ตที่ใครก็เอื้อมถึง
สำหรับตำนานบทใหม่ของยานยนต์อยาง MG นั้น เริ่มถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจากทีแรกเน้นที่ไปการผลิตเครื่องยนต์เพื่อส่งให้กับบริษัทรถอื่น ๆ จนกระทั่งในปีค.ศ. 1923 จึงได้มีการจัดตั้งบริษัท MG cars ขึ้นมาเพื่อผลิตรถยนต์เพิ่มเติมจากสายการผลิตเดิม ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนรวม 2 บริษัทเข้าด้วยกันในชื่อ British motor coporation หรือ BMC ในปี ค.ศ. 1935
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2005 บริษัทรถยนต์ MG ได้แยกเองออกมาจาก BMC หลังจากซื้อกิจการของ Nanjing Automobiles Group ก่อนมีการรวมกลุ่มธุรกิจอีกครั้งกับ Shanghai Automotive Industry Corporation หรือ SAIC ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์สปอร์ตมาจนปัจจุบัน
ส่วนโรงงานผลิตของรถยนต์ MG นั้นเริ่มแรกอยู่ที่เมือง Abingdon ทางตอนใต้ของ Oxford ประเทศอังกฤษ โดยรถคันแรกที่ผลิตจากโรงงานนี้ก็คือ MG EX120 เป็นรถยนต์ต้นแบบที่นำมาใช้ในการแข่งขันด้วยความเร็ว100 ไมล์/ชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ 750 ซีซี พร้อมกับการปรับจูนเครื่องยนต์ให้เป็นเครื่องแบบเพาเวอร์พลัสซูเปอร์ชาร์จ อิสตัน ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีความเร็วสูงมากในขณะนั้น
ต่อมา MG ได้มีการผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ออกมาอีกหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นมักเน้นที่สมรรถความเร็วที่สูงกว่ารถยนต์ที่มีอยู่ทั่วไปในขณะนั้น เช่นรุ่น EX181 ที่มีความเร็วในภาคพื้นดิน245.64 ไมล์/ชั่วโมง แม้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย
ไทมไลน์แห่งความสำเร็จในการผลิตรถยนต์ของ MG
ในช่วงปีค.ศ. 1924-1927 การผลิตรถยนต์มุ่งเน้นไปที่การสร้างสุดยอดรถแข่ง ด้วยการเปิดตัวOld Number One ซูปเปอร์สปอร์ตคันแรกของเอ็มจี ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด1548 ซีซี เกียร์ 3 สปีต โดยใช้โครงสร้างแซสซี่ของ Morris Cowley และเป็นรถรุ่นที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน Lands End Trial ในปี ค.ศ. 1925 ต่อมา MG ได้มีการพัฒนาหม้อน้ำให้มีลักษณะเป็นสปริงรูปวงรีผ่าครึ่ง พร้อมกับการเริมโครงสร้างให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม ส่งผลสามารถควบคุมรถยนต์ในขณะขับขี่ได้ดีขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีขนาด 35 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
ในช่วงปีค.ศ. 1927-1952 เป็นช่วงที่ MG มุ่งมั่นพัฒนาความเร็วของรถในรุ่นK3 Magnette จนสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Ferrari ได้ด้วยอัตราความเร็ว105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนกลายเป็นตำนานที่ยังได้รับการกล่าวขานมาจนปัจจุบัน
ในช่วงปีค.ศ.1952-1962 MG ได้มุ่งเน้นการพัฒนารถยนต์ทางด้านของการออกแบบที่ทันสมัยและมีการนำเหล็กเข้ามาใช้ทำโครงสร้างทั้งคัน พร้อมกับการเปิดตัว ZB Magnette Wolselet 4/44 ที่ถือเป็นรถยนต์ต้นแบบที่ปฏิวัติวงการผลิตรถยนต์ด้วยการสร้างรถยนต์จากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ก่อนที่จะนำมาประกอบเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่
ในช่วงปีค.ศ. 1962-1980 ได้มีการเปิดตลาดใหม่ด้วยรถยนต์สปอร์ตแบบสองที่นั่ง และสามารถครองใจกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยออกมาทั้งหมด 3 Model คือ MG Midget Ml I เครื่องยนต์ 950 ซีซี (1961-1964) MG Midget Mk II เครื่องยนต์ 1100 ซีซี และMG Midget 1500 ที่เพิ่มความจุกระบอกสูบเป็น 1493 ซีซี นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว MGB GT V8 เครื่องยนต์ V8 โรเวอร์ 3,258 ซีซี ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ผลิตจากโลหะอัลลอยด์น้ำหนักเครื่องจึงเท่ากับรุ่น Series B ทำให้กินน้ำมันได้น้อยลง และควบคุมง่ายกว่าเครื่องยนต์ในรุ่น MG Midget
ในช่วงปีค.ศ. 1990-2009 ในยุคนี้ MG ได้มุ่งมั่นพัฒนาทางด้านรูปทรงพร้อมกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ด้วยการนำเครื่องยนต์มาวางไว้กึ่งกลางตัวรถ เพื่อช่วยสร้างสมดุลในการขับขี่ให้มีมากขึ้นพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบไฮดราก๊าซ (Hydragas) นอกจากนี้ยังมี MG ZR ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด K-Series 1.8 ลิตร และ MG7 ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบอย่างคลาสสิค โรเวอร์ 75 ที่มีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นกว่ารถในระดับเดียวกัน
ในช่วง2010 – ปัจจุบัน หลังจากที่ MG ได้ทำการพัฒนายานยนต์ในรูปแบบสปอร์ตจนได้รับความนิยมอย่างมากก็ถึงเวลาที่ MG จะหันมาพัฒนารถยนต์รุ่นเล็กที่มีสมรรถนะสูงเหนือรถยนต์ในรูปแบบเดียวกันด้วยรถยนต์รุ่น MG3 NEW MG6 และ NEW MG5 ที่ออกแบบมาให้มีลักษณะ CUIPE DESIGN พร้อม SUNROOF เร้าใจด้วยเครื่องยนต์ TURBO 1.5 ลิตร 129 แรงม้า ที่สามารถพูดได้ว่าเป็นรถเล็กแต่หัวใจสปอร์ตนั่นเอง